เรื่องนี้ นายสัตว์แพทย์นิสิต ตั้งตระการพงษ์ ค้นคว้าจากเอกสารต่างๆ ทำให้พอสันนิษฐานได้ว่า ไก่ที่สมเด็จพระเนรศวรทรงนำไปชนกับพม่านั้นคือ “ไก่เหลืองหางขาว” [บ้างถิ่นเรียกไก่เหลืองใหญ่] จากบ้านกร่าง เมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็น “ถิ่นไก่ชน” สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย
ลักษณะของไก่เหลืองหลังขาว ได้แก่สี-สร้อยเหลือง ทั้งสร้อยคอ, สร้อยปีก และสร้อยหลัง, หาง–ขาวเหมือนฟ่อนข้าว กระรวยหางสีขาว ยาวโค้งปลายห้อยไปด้านหลังตกลงสวยงาม, หน้า-แหลมยาว เหมือนหน้านกยูง, ปาก-ขาวอมเหลือง มีร่อง 2 ข้างจงอยปาก, ปีก–ใหญ่ยาวมีขน ขาวแซมทั้งสองข้าง, อก-ใหญ่ ตัวยาว ยืนขาห่างกัน, ตะเกียบ-คู่แข็ง กระดูกใหญ่, แข้ง-ขาวอมเหลือง เล็ก นิ้วยาวเรียว เดือยงอน คันช้อน, ขัน-เสียงใหญ่ ยาว, ยืน-ท่าผงาดดังราชสีห์ที่สำคัญคือ ไก่เหลืองหางขาวนั้น “ฉลาด ปราดเปรียว อึดทน”
จึงมีคำพูดว่า “ไก่เหลืองหางขาวกินเหล้าเชื่อ” หมายความว่า ถ้าไก่เหลืองหางขาวได้คู่ตีแล้วไม่ต้องมานั่งลุ้นดู ให้ไปสั่งเหล้ามากินเชื่อก่อนได้ ต้องชนะแน่นอน ปัจจุบันในจังหวัดพิษณุโลกมีการจัดตั้ง “กลุ่มผู้อนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ไก่ชน พระนเรศวรฯ” ขึ้นหลายแห่งด้วยกัน
สมัยกรุงธนบุรี ไก่ของพระยาพิชัยดาบหักตีไก่ของพระยาพระคลังหนตายในสังเวียนหน้าพระที่นั่ง แต่พระยาพระคลังหนยอมรับว่าไก่ของตนตายจริงแต่ไม่ได้แพ้ เพราะไม่แสดงท่าทีว่าแพ้ 3 ประการ คือ วิ่งหนีหรือไม่สู้ ร้อง และชักขนหยอง แต่เมื่อตรวจดูศพของไก่ดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงตัดสินให้ไก่ของพระยาดาบพิชัยดาบหักชนะ
นอกจากนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า สำนวนไทย, บางคำอาจมีที่มาจากการชนไก่ เช่น “รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง” เพราะไก่ชนที่รู้จักหลบโดยเอาหัวซุกปีกคู่ต่อสู้ แล้วค่อยหาโอกาสจิกตี และคำอื่นๆ อย่าง “งงเป็นไก่ตาแตก” – งงมากจนทำอะไรไม่ถูก, “มีลำหักลำโค่นดี” – ชั้นเชิงที่ใช้หักโค่นอีกฝ่ายหนึ่งอย่างรุนแรง ดุเดือด ฯลฯ
ติดตามข่าวสารไก่ชนได้ที่ Kaichon888.co หรือไลน์แอด @cockfight888